14 ก.ย. 2556

ขั้นตอนสู่การพ้นทุกข์ ตามวิถีมรรค


ขั้นตอนสู่การพ้นทุกข์ ตามวิถีมรรค

ทุกข์เริ่มจากการมุ่งร้าย การเบียดเบียนผู้อื่น สัตว์อื่น
จัดการด้วยการมีศีล ศีลจะดูแลกายและวาจาที่จะไปเบียดเบียน พยาบาทผู้อื่น

ทุกข์มาจากการไปเสพติดกามคุณเช่น รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส
พูดง่ายๆคือหลงเป็นทาสวัตถุนิยม แบรนด์ดัง อาหารอร่อย ฯลฯ
จัดการด้วยเนกขัมมะ พรากออกจากกามที่หลงยึดไว้
ถ้าไม่พรากไม่รู้นะ พรากออกอดทนสู้ไม่ถอย ให้เห็นโทษภัย

เมื่อพรากกามคุณและไม่ทำอกุศลทางกายทางวาจาได้
จิตใจจะสงบในระดับที่ง่ายต่อการเจริญสมาธิ
เพื่อการจัดการกับทุกข์ในระดับจิตใจต่อไป

ทุกข์มาจากใจที่ไปคิดเรื่องอกุศล สาเหตุมาจากสิ่งที่สั่งสมมายาวนาน
ทั้งเห็นแก่ตัว
อยากได้ไม่อยากให้
เห็นแต่เรื่องไม่ดีของคนอื่น ตัวเองดีหมด
เพียรละอกุศลในใจ ละอกุศลเจริญกุศล รู้ลมไว้

เติมกุศลในใจ เพียรเจริญกุศลไว้
คือ อานาปานสติก็ดี เมตตาก็ดี ฯลฯ
รู้ลมหายใจไว้มากๆ ในชีวิตช่วงไหนว่างรู้ลมหายใจ
(อ่านอยู่หยุดอ่านตรงนี้เลย.. รู้ลมแทน.. หลายๆ ครั้งแล้วค่อยอ่านต่อ)

ระยะนี้อกุศลจะถูกชำระด้วยกุศล
โดยหลักการแน่นอนว่าอกุศลต้องลด กุศลต้องเพิ่ม
ผลคือจะสงบสุขในใจมากขึ้นแน่ๆ จิตใจจะตั้งมั่น เป็นสุขสงบเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ซึ่งเป็นผลจากการรู้ลม

จากนี้การนั่งสมาธิจะสงบขึ้นเองโดยธรรมชาติ
ช่วงนี้ทำทั้งในรูปแบบและในชีวิตประจำวันไว้ให้มาก

ศีลก็บริบูรณ์ไม่ว่าร้ายใคร ไม่เบียดเบียนด้วยกาย
เริ่มพรากออกจากการยึดติดรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ได้มากขึ้น
จิตใจจะสงบตั้งมั่นปราศจากนิวรณ์มารบกวน

อกุศลในใจก็ละไปด้วยการรู้ลมแทน
เมื่อรู้ลมก็เกิดเวทนาขึ้นเฉพาะคืออุเบกขา
ทุกข์เริ่มลดลงลดลง ความตั้งมั่นของจิตจะสูงขึ้น
จะเริ่มเห็นว่าทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ก็ดับไป
สุขเกิดขึ้น สุขก็ดับไปเฉยๆ
เกิดขึ้นเฉยๆ ก็ดับไป จนเห็นสรรพสิ่งภายนอกก็เช่นกัน

ความรู้ความเห็นเข้าไปในระดับจิตมากเข้า
ไม่เหมือนเมื่อก่อนมันรู้ระดับสมอง
เมื่อความคิดเกิดขึ้น สติระลึก กลับมารู้ลม

จังหวะนี้จะเห็นว่าวิญญาณตั้งอาศัยที่สังขาร เกิดเป็นอารมณ์ในคิด
เมื่อละมารู้ลม วิญญาณจะดับลง จากสังขารมาเกิดขึ้นที่รูปแทน

สักพักก็เผลอไปคิดอีก ก็ทำนองเดียวกัน
วิญญาณดับลงจากรูปแล้วไปเกิดที่สังขารอีก

จะเห็นการเกิดดับในอย่างนี้ไปเรื่อย
รวมถึงในขันธ์อื่นๆด้วยคือ เวทนา(ความพอใจ ไม่พอใจ เฉยๆ) สัญญา (ความจำได้หมายรู้)
จะค่อยๆเห็นว่าไม่มีเรา ขันธ์ทำงานกันเอง



เมื่อมีผัสสะมากระทบก็จะเกิดเป็นอาการต่างๆ
เป็นผลออกมาหรือจะเรียกว่าพฤติกรรมก็ได้

แสดงว่าหากจะเปลี่ยนพฤติกรรมใครต้องไปแก้ที่สันดานที่สั่งสมมา
ความเพียรในการละทั้งหลาย
ตั้งแตแศีลมาจนความเพียรละอกุศลในใจ
จนความเพียรสร้างกุศลนั้นเริ่มไปเปลี่ยนสันดานใหม่
ตรงนี้อยู่ในมรรคตั้งแต่ข้อ 2 3 4 5 6

เพราะฉะนั้นการปรับเปลี่ยนสันดานเดิม
จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเข้าไปจัดการกับความเคยชิน
ในการตอบสนองเป็นอกุศลนั้น จะทำให้มันดำเนินไปตามสัญชาตญาณเดิมแน่ๆ
ตรงนี้มันจะกลายเป็นว่างแบบปุถุชนไม่เป็นโลกุตระมรรค

เมื่อสันดานเดิมเริ่มเปลี่ยนมาเป็นนิสัยที่กุศลเป็นหลัก
ใจจะสงบเยือกเย็นไม่เร่าร้อน จิตจะตั้งมั่นได้ง่ายเห็นการเกิดดับ
จนเบื่อหน่ายคลายความยึดถือในความทุกข์ ความสุขในสรรพสิ่งภายนอก

จะเริ่มปล่อยวาง
จะเกิดการดับว่าง
จากจุดเป็นเส้น
จากน้อยไปมาก
เห็นความจริงโดยลำดับ

จนสามารถละความเห็นผิดว่ากายเป็นเรา จิตเป็นเรา
ทุกข์ลดลงมหาศาลเพราะที่ทุกข์กันอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะเห็นผิดว่ามีเรานี่ล่ะ

จากนั้นแม้ละความเห็นผิดลงไปได้แล้ว
เพราะจากการเฝ้าสังเกตุรูปนาม (รูป เวทนา สัญญา สังขาร)มาตลอด
เข้าใจว่าขันธ์ทั้งหลายเกิดดับ (แต่วิญญาณหรือจิตกลับไม่เห็นว่าตัวเองก็เกิดดับ)
จิตจึงยึดถือความรู้หรือปัญญาที่เกิดขึ้นจากการเฝ้าดู
ตรงนี้หากไม่ใช้การละอารมณ์ให้วิญญาณดับจากขันธ์นามธรรมมาเป็นรูป
หรือที่เรียกว่ากายคตาสติ
ในการเจริญภาวนามาตั้งแต่ต้น
จะเกิดปัญหาตรงนี้มาก
เพราะจิตไม่เห็นตัวเองดับ เราคิดเอาเองก็ไม่ได้เพราะเข้าต้องเห็นเอง
สร้างเหตุไว้อย่างไร ผลก็เป็นอย่างนั้น
รู้แล้วต้องปล่อยต้องทิ้งทันทีให้วิญญาณดับลงไปด้วย
ไม่้ให้สืบเนื่องไปในขันธ์ของนามธรรมให้ละแล้วมาอยู่กับรูป

ถึงตรงนี้จิตจะคลายความยึดถือในขันธ์
อารมณ์ต่างๆ เริ่มดับไป ดับไป ไม่เข้าไปยึดถือ
ทำอะไร(ในจิตใจ) ก็เงียบไม่มีการปรุงแต่งใดๆ
กุศลก็ไม่เอา ไม่ยึด ไม่ปีติ ไม่หลงเสพอีก
แต่ก็ทำกุศลไปไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
จนรูปธรรมทั้งหลายไม่สามารถทำความกระทบกระเทือนต่อจิตได้อีก
จิตโปร่งเบาเป็นอิสระจากรูปหมดความเกาะเกี่ยว
ไม่ดึงเข้าไม่ผลักออกต่อรูป เสียง กลิ่น รส ที่มากระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย อีก
ใครทำอะไรๆ ก็ไม่เอาโกรธอีก ไม่เห็นมีอะไร

จากนั้นทุกข์เบาบางเต็มที
จะเหลืออยู่ที่ยังทุกข์บ้างก็เพราะไปยึดในกุศลบ้าง ในทิฏฐิบ้าง ฯลฯ
ก็เพราะยังไม่เห็นสัพเพธัมมาอนัตตา
ดังคำกล่าวของปฏาจาราเถรี

"นอกจากทุกข์แล้วไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
นอกจากทุกข์แล้วไม่มีอะไรตั้งอยู่
นอกจากทุกข์แล้วไม่มีอะไรดับไป"
สิ่งเกิดดับล้วนเป็นทุกข์ สิ่งเป็นทุกข์เป็นอนัตตา"

อนัตตาคือสิ่งทั้งปวงมีเหตุให้เกิดก็เกิด หมดเหตุก็ดับ
สิ่งนี้แม้จะว่างจากตัวตนแต่ยังไม่เหตุเกิดอยู่
เมื่อเห็นถึงที่สุดวางในขั้นสุดก็เข้าสู่สุญญตา
ที่ๆไม่มีเกิด ไม่ดับอีกต่อไป
ปล่อยจากความยึดถือสิ่งเกิดดับ
ขันธ์ทั้ง ๕ เป็นของหนักเน้อ! ตัวขันธ์เเองก็เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา

เมื่อเห็นแจ่มแจ้งในอริยสัจ ๔
จิตเองจึงปล่อยความยึดถือในขันธ์

พระพุทธเจ้าจึงบัญญัติว่า นิพพาน ผู้รู้ที่เป็นวิญญาณเกิดดับก็ถูกปลดปล่อย
สติก็เป็นธรรมฝ่ายเกิดดับ
ถึงสภาพนี้สรรพสิ่งกลายเป็นความเคยชิน
หมดเจตนาต้องถือต้องประคอง อิสระ
เกิดเป็นวิมุตติญาณทัสนะ ไม่ยึดอะไรๆ มาเป็นเราอีกต่อไป
ถึงที่สุดแห่งทุกข์ที่ตรงนี้

"ชาติสิ้นแล้ว พรมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ต้องทำได้สำเร็จแล้ว
กิจอื่นที่ต้องทำเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มีอีก"

สรุป

1. ละบาป ระดับกายวาจา ใช้ศีล

2. ละการยึดติดกามคุณ เนกขัมมะ ถอนความยินดีในวัตถุนิยม รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส

3. เพียรละอกุศลในใจ ละไปเรื่อยๆในชีวิตประจำวัน

4. เพียรเจริญกุศลในใจ อานาปานสติ เดินจงกรม นั่งสมาธิ

5. ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นการเกิดดับในสรรพสิ่งทั้งภายนอกและภายใน โดยเฉพาะภายในสำคัญมาก

6. เมื่อทำถูก ต้องรู้สึกคลายความเครียดในสิ่งต่างๆลงสรรพสิ่งล้วนเป็นทุกข์

7. เมื่อเห็นจนเต็ม ศีลไม่บกพร่อง เผลออย่างไร ก็ไม่มีวันทำผิดอึก ไม่ต้องเจตนาในการถือศีล ใจรู้สึกเป็นกลางไม่ดิ้นรน เจริญกุศลต่อไป ช่วยเหลือสังคม อยู่ด้วยแล้วคนรอบข้างสัมผัสความสุขจากเรา อารมณ์ไม่วูบวาบ

8. เจริญกุศล เจริญสติโดยเห็นฐานต่างๆ ไม่ว่า กาย เวทนา จิต ธรรม ล้วนเกิดดับ ว่างจากตัวตน มีเหตุก็เกิด หมดเหตุก็ดับ จนวันหนึ่งเหตุเกิดก็ถูกชำระ จึงดับตลอด เมื่อดับก็ว่าง เมื่อว่างก็สงบเย็น จุดนี้อกุศลถูกละจนเบาบาง เป็นระดับละเอียดก็ละไปเรื่อยๆ ละเพื่อให้เห็นวิญญาณเองก็เกิดดับไปอย่างนั้นผู้รู้จะแข็งแรง

9.กุศลเต็ม ทำกุศลหมดความยึดถือในกุศล ทุกสรรพสิ่งทำแล้วไม่ยึดถือ รวมทั้งว่างจากผู้กระทำ หมดผู้ทุกข์ หมดถูกผู้กระทำ อยู่นอกเหตุ เหนือผล ที่ผ่านมาทำเหตุสร้างเหตุมาจนทั้งเหตุก็พอ ผลก็เต็ม หมดความยึดถือทั้งปวง สงบเย็น จบพรหมจรรย์

เดินทางอยู่ตรงไหน
ขาดอะไร
ลองตรวจสอบดูคร่าวๆ

สำคัญคือต้องสู้
เพียรไม่หยุด
อย่าเอาแต่สุนกสนานไปวันๆ
หลงไปกับสิ่งที่เกิดขึ้นดับไปในใจ

- อาจารย์ประเสริฐ อุทัยเฉลิม -

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น